Translate

Friday, July 20, 2012

ป้องกันไตเสื่อม.....ตอนไตเสื่อม แต่มีภาระ ยังตายไม่ได้

ป้องกันไตเสื่อม.....ตอนไตเสื่อม  แต่มีภาระ  ยังตายไม่ได้

จากอีเมล์ส่งต่อ
.......................................................................................................................................................
อย่าเข้าใจว่า ขอบตาดำ เกิดจากนอนน้อย นอนดึก เท่านั้น ร่างกายจะมีสัญญาณบอกความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นเสมอ แต่เราไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า ร่างกายต้องการบอกอะไร คนที่ขอบตาดำ พึงระวังไว้ครับ ว่าร่างกายกำลังเตือนว่า ไตกำลังจะเสื่อม ! ไม่ว่าอายุแค่ไหน หนุ่มสาว หรือ แก่ชรา ล้วนมีสิทธิไตเสื่อมด้วยกันทั้งนั้น ผมพูดถึงไตเสื่อมนะครับ ไม่ใช่โรคไต ไตทำหน้าที่กรองของเสียในร่างกาย ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหน้าที่หลายๆ อย่างของไต จึงสรุปสั้นๆว่า ไตเปรียบเหมือน GM หรือ ผจก. ของร่างกาย คนยุคปัจจุบัน ทำร้ายไตตัวเองโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่ากินอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป ( เค็ม-มัน- เผ็ดมาก ฟาสฟู้ด-อาหารสำเร็จรูป แช่แข็ง-อาหารอุตสาหกรรม ฯลฯ ) ร่างกายเสียสมดุล อีกทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับเวลาที่ถูกต้อง นอนน้อยเกิน นอนมากเกิน นอนไม่เป็นเวลา ไม่ออกกำลังกาย ( รวมถึงออกกำลังไม่เหมาะกับสภาพร่างกายตัวเอง) เครียดมาก กดดันมาก รีบเร่งมาก ฯลฯ คนยุคปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะไตเสื่อมมากขึ้น และให้สังเกตร่างกายตัวเองดังต่อไปนี้ 1. อ่อนเพลียบ่อย ขาดความกระตือรือร้น 2. นอนไม่ค่อยหลับ หรือ หลับไม่สนิท 3. ปัสสาวะบ่อย หรือ กะปริดกะปรอย 4. ปวดตามตัว เป็นตะคริวบ่อย 5. จาม คัดจมูก เป็นหวัดง่าย 6. ซึมเศร้า ปวดหัวง่าย ขี้ลืม ขี้วิตกกังวล 7. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนไม่ปกติ และ 8. ขอบตาดำคล้ำ ผมหงอก ผมร่วงก่อนวัย จริงๆมีเยอะกว่านี้ เอาแค่นี้เช็คตัวเองก่อนแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอาการแบบนี้ทั้งหมด แต่โดยรวมแล้วมีปรากฎให้เห็นกับตัวเอง
อะไรบ้างที่ทำให้ไตเราเสื่อม - 1. ใช้ชีวิตขาดสมดุล : นอนไม่พอ ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวกลางคืนหนัก หมกมุ่นความบันเทิง ฯลฯ 2. เพศสัมพันธ์ : มีเพศสัมพันธ์มากเกินควร และหลั่งอสุจิมากเกินควร ทำให้ร่างกายเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ และไตจะอ่อนแอลง และ 3. การทานยารักษาโรคนานๆ หรือปริมาณที่มาก : ทั้งยาแก้ปวด ยาคุมฯ ยาแก้หวัด แก้ไอ แก้เครียด ซึ่งแม้โรคจะหายแต่ไตจะมีเคมีของยาตกค้างอยู่ ยังมีอีกเยอะครับ แต่แค่นี้คงครอบคลุมแล้วลองดูตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีอาการตามที่ว่าหรือไม่
การแก้ไข -  ง่ายสุด คือ ปรับพฤติกรรมตัวเอง ทั้ง การนอน การกิน การอยู่ หนึ่งวันมี 24 ชม. ให้แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนละ 8 ชั่วโมง ทำงาน 8 ชั่วโมง ส่วนตัว 8 ชั่วโมง (เที่ยว พักผ่อน ดูทีวี สันทนาการ ออกกำลังกาย) และนอน 8 ชั่วโมง หมอจะกำไรมากขึ้นจากการรักษาคนป่วย แต่คนป่วยจะไตพังกันมากขึ้น จากการกินยา แล้ววนมาให้หมอรักษาไตอีก ดังนั้น ต้องตัดสินใจเองว่าจะบริหารจัดการชีวิตตนเองอย่างไร ที่ไม่เสียงาน ไม่เสียสุขภาพ นอกจากนี้ ผมมีข้อแนะนำ ดังนี้ครับ 1. ปรับวิธีการออกกำลังกาย แอโรบิคก็เป็นการออกกำลังที่ดี แต่ช่วงที่ร่างกายขาดสมดุล จึงไม่แนะนำให้เล่นต่อ เพราะอาจทำให้คุณสูญพลังมากขึ้น อยากให้คุณฝึกโยคะกับครูผู้ชำนาญ ซึ่งหาเรียนได้ไม่ยากในเวลานี้ ( ห้ามฝึกเองจากหนังสือ หรือ ซีดีเด็ดขาดนะครับ จะเสียมากกว่าได้ ) การฝึกโยคะ ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการปรับสมดุลของระบบภายในร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาวะที่ผันแปรต่างๆให้เข้าที่ แต่ต้องฝึกอย่างมีวินัย และมีสมาธิ นอกจากนี้ หากมีฝึก ชี่กง ควบคู่ไปด้วย จะเห็นผลดี และเร็วขึ้น หากรู้สึกว่า ยากหรือห่างตัวเกินไป ก็ให้เลือกการว่ายน้ำ โดยว่ายอย่างเบาๆ แต่ต่อเนื่อง ในเวลาที่พอสมควร ( เหนื่อยให้หยุดพัก ห้ามฝืนต่อ ) คุณไม่ได้ไปแข่งกับใคร คุณกำลังบำบัดตัวเอง 2. ปรับอาหาร : งดเนื้อสัตว์ย่อยยาก วัว หมู ไก่ เป็ด ของเผ็ด ของเย็น (ไอสครีม น้ำแข็ง ) ของมัน ของทอด ให้ทานปลาทดแทน และทานผักสด ที่ปรุงน้อย (เช่นสลัด)มากขึ้น ทานพวกถั่วแดง งาดำ ข้าวโพด ข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติ (ห้ามดื่มน้ำเย็น) และงดเครื่องดื่มของมึนเมา น้ำอัดลม นม น้ำอุตสาหกรรม (ชาเขียว ชาขาว เครื่องดื่มบำรุงกำลัง)   และ 3. อยู่ห้องแอร์ให้น้อยลง อยู่หน้าจอคอม จอโทรทัศน์ให้น้อยลง หาเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น (เดินเท้าเปล่าในสนามหญ้าได้จะดีมาก) จะเห็นว่าที่แนะนำไป ดูเบสิคมากเลยใช่มั้ยครับ แต่ทำยากมากเลย นี่ล่ะครับ ผมถึงบอกว่าคนในยุคนี้ป่วยกันมากขึ้น เพราะมีพฤติกรรมทำลายวงจรธรรมชาติของตัวเอง อาการผิดปกติที่แสดงออกทางร่างกาย ไม่ว่าพฤติกรรม หรือความรู้สึก ล้วนสัมพันธ์กับไต
ไตเหมือนแบตเตอรี่ที่มีค่ายิ่งของมนุษย์ เป็นผลึกแก้ววิเศษที่มีค่ามหาศาล แต่ก็เปราะบางยิ่งนัก และง่ายต่อการแตกร้าว วิธีการดูแลรักษาไม่ยากสำหรับคนในยุคก่อน แต่ยากยิ่งสำหรับคนยุคนี้ นั่นคือ "คล้อยตามธรรมชาติ" คนสมัยก่อน ตื่นเช้า นอนแต่หัวค่ำ ทานอาหารสดใหม่ไม่ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ใช้กำลังกายมากกว่าพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวก ฯลฯ ในขณะที่คนยุคนี้ นอนดึกเป็นกิจวัตร ( ทำงาน , ดูบอล , ดูโทรทัศน์ , เที่ยวกลางคืน) ทานอาหารปนเปื้อน แปรรูป ดื่มน้ำอัดลม พึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินความจำเป็น ฯลฯ
อาการไตเสื่อมจะเกิดใน 2 ลักษณะ แยกเป็น ไตหยิน กับ ไตหยาง อาการไตหยาง หรือ ไตหดตัวแน่น - นอนไม่หลับ หรือ หลับๆตื่นๆ นอนกัดฟัน ฝันร้ายบ่อย อสุจิเคลื่อนตอนนอน  เป็นเหน็บชาบ่อย ฯลฯ โดยมีสาเหตุมาจาก 1. กินรสเค็มจัด หรือ เนื้อย่าง ปิ้งไฟ หรือ พวกเนื้อแห้ง แดดเดียวบ่อยๆ 2. การทำงาน หรือ การใช้ชีวิตที่ขาดระเบียบ 3. การนั่งทำงานหรือ นั่งรถนาน ส่วนอีกลักษณะคือ อาการไตหยิน หรือ ไตคลาย - เฉื่อยชา เกียจคร้าน ความต้องการทางเพศต่ำลง ปวดเมื่อยหลัง เอว ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน นอนตื่นสาย ไม่อยากตื่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ขี้หูมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ ตามปกติแล้ว กลางคืน ไต ซึ่งเป็นอวัยวะธาตุน้ำ หรือ "หยิน" จะทำงานมากกว่ากลางวัน ( สังเกตว่าตื่นเช้าเราจะปวดปัสสาวะก่อนเป็นอันดับแรก) ดังนั้น เมื่อเราใช้ชีวิตที่เพิ่มปัจจัย "หยิน" ในชีวิตประจำวันมากจนเกินดุล ไตจึงยิ่งทำงานหนักขึ้น (อาการหยินที่เกิด เช่น ขี้เกียจ อยากนอนตลอดเวลา ปัสสาวะบ่อย เซื่องซึม สีหน้าซีดเซียว ขอบตาคล้ำ หงุดหงิดขี้รำคาญ เป็นต้น)
การใช้ชีวิตที่ไปเพิ่มปัจจัยหยิน ได้แก่ - การดื่มน้ำเย็นเป็นนิสัย รวมทั้ง น้ำแข็ง ไอสกรีม หวานเย็น และอาหารลักษณะนี้ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ การสวมใส่เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งมีไฟฟ้าสถิตย์
-
การอาศัยอยู่ในที่เย็นนานๆ เช่น ห้องแอร์ ดังนั้น คนที่ทำงานในออฟฟิศที่เปิดแอร์ทั้งวัน ควรหาเวลาเดินไปข้างนอกเปลี่ยนอากาศบ้าง หรือ ใส่เสื้อแจ็คเก็ต ( ควรเป็นผ้าธรรมชาติ เช่น คอตตอน ) และ หาโอกาสออกกำลังกายกลางแจ้งบ้าง สำหรับคนนอนห้องแอร์ ควรสวมเสื้อผ้า ห่มผ้าให้อบอุ่น ารนั่งรถนานๆ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่รถติดมากๆ ยิ่งเพิ่มปัจจัยหยินมากขึ้น นอนไม่เป็นเวลา ทำงานไม่เป็นเวลา นอนน้อย หรือ นอนผิดเวลา
สำหรับคนที่นอน และ ทำงานผิดเวลา -  ตามหลักวงจรธรรมชาตินั้น กลางวัน คือ เวลาสำหรับ ทำงาน เรียนหนังสือ กลางคืน คือ สำหรับพักผ่อน นอนหลับ ( หยางเคลื่อนไหว หยินสงบนิ่ง) การใช้ชีวิตที่ผิดวงจรนั้น จะส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และจิตใจ อย่างแน่นอน แม้จะยังไม่แสดงตัวออกมาอย่างเต็มที่ นั่นเพราะ ตัวคุณมี " ทุน" ที่ยังค้ำยันอยู่ แต่ ทุนจะหมด เพราะการใช้ชีวิตที่ผิดสะสม
อาหารที่ควรเลือกรับประทานเป็นหลัก ได้แก่ - 1. ข้าวกล้อง 2. สาหร่ายทะเล 3. ถั่วแดง ผักสด ผลไม้ไม่หวานและน้ำน้อย และ 4. เต้าเจี้ยว
หลีกเลี่ยง การใช้ชีวิต ดังนี้ - 1. การใส่รองเท้าส้นสูง 2. การนั่งหรือนอนบนเก้าอี้ที่แข็ง หรือ นุ่มเกินไปผิดรูปกายภาพ (เก้าอี้ หรือ เตียง ดีไซน์เก๋ๆ ที่นิยมกันในหมู่คนรุ่นใหม่) ควรเลือกแบบที่ไม่แข็ง ไม่นุ่ม กำลังดี อย่างที่นอนใยมะพร้าว
การใช้ชีวิตที่ควรปรับเพิ่ม - 1. พยายามอย่านั่งหลังงอ และ 2. อย่านั่งนานๆ หรือ อย่าอยู่อย่างเฉื่อยชานานๆ นึกขึ้นได้ให้ขยับตัว เคลื่อนไหว เปลี่ยนอิริยาบถ


……………………………………………………

เชิญร่วมบริจาคศูนย์สงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคเหนือ


ศูนย์สงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนภาคเหนือ

 ประวัติความเป็นมา เป็นศูนย์ระดับภาคแห่งแรก และเป็นหน่วยงานสาขาของมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทยฯ ในภาคเหนือ ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2524 เริ่มแรกได้ใช้สำนักงานชั่วคราวที่ศูนย์สาธารณสุขท่าสะต๋อยของเทศบาลนครเชียงใหม่ และย้ายมาอยู่ตึกแถวสองคูหา ศูนย์การค้าทิพย์

เนตรเป็นสำนักงานถาวร ที่มูลนิธิฯ จัดซื้อด้วยทุน “หลวงปู่แหวนเมตตาปัญญาอ่อน” ซึ่งได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2527 ต่อมา ศูนย์ฯ ได้สร้างอาคารเรียนหลังใหม่ในเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน ที่ได้รับบริจาคจากนางสมสุข เจือศรีกุล ในหมู่บ้านน้ำผึ้งวิลเลจ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดอาคารเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2536

การดำเนินงานมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาเด็กปัญญาอ่อนทั้งร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนการศึกษา 2. เพื่อสงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อน ทั้งด้านสวัสดิภาพทางครอบครัว และฝึกฝนอาชีพ 3. เพื่อเผยแพร่การสงเคราะห์ของมูลนิธิฯ ให้กว้างขวางขึ้น 4. เพื่อสำรวจศึกษา ค้นคว้า วิจัยภาวะความบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อประโยชน์ของการศึกษาและการแพทย์ 5. เพื่อให้ท้องถิ่นเริ่มงานสงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อน โดยเฉพาะให้มีบทบาทและมีส่วนร่วมสงเคราะห์บุคคลปัญญาอ่อนร่วมกัน 6. ร่วมมือและประสานงานกับทางราชการและองค์การกุศลอื่นๆ ทั้งในและนอกประเทศ เพื่อให้ประโยชน์สุขแก่คนปัญญาอ่อนทั่วไป

หากท่านใดประสงค์จะบริจาคช่วยเหลือมูลนิธิสงเคราะห์คนปัญญาอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยค่าเลี้ยงอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าดำเนินการของมูลนิธิ เข้าไปดูที่เวบไซต์ http://www.fmrth.com/contact_us.php?key=chiangmai